wkkschool
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.
wkkschool

โรงเรียนวัดเขียนเขต


You are not connected. Please login or register

เรื่องเล่าเร้าพลัง ของนางสาวกรณิการ์ เรืองชูพงศ์

Go down  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

kornnika



ดิฉันเป็นครูสอนภาษาต่างประเทศชั้นมัธยมศึกษาปีที่1-2 ของโรงเรียนวัดเขียนเขต
ในวัยเด็กของดิฉันเองก็ไม่ใช่คนที่เรียนเก่งสักเท่าไร การเรียนอยู่ในระดับกลาง พอใช้ไม่เคยได้โดดเด่นเรื่องวิชาการ แต่ถ้าเป็นเรื่องกิจกรรมงานไหนไม่เคยพลาด เพราะดิฉันเป็นนางรำและนักดนตรีประจำโรงเรียน นั่นคือช่วงที่เรียน ม.ต้น แต่พอขึ้น ม.ปลายเริ่มจะต้องคิดหาทางออกให้อนาคตของตัวเอง เพราะที่บ้านมีลูกหลายคนและมีฐานะปานกลางไม่รำรวยอะไร จากนักกิจกรรมก็กลายเป็นเด็กเรียนเต็มตัว เวลาว่างก็เข้าห้องสมุดอ่านหนังสือ ทิ้งกิจกรรมทุกชนิด แม้อาจารย์ขอให้ช่วยกิจกรรมระหว่างวิชาการกับทางบันเทิงที่ถนัดดิฉันก็ เลือกกิจกรรมทางวิชาการมากกว่า เนื่องจากเรียนสายวิทย์-คณิต และทางรอดทางเดียวที่จะได้เรียนมีอนาคตที่ดีต่างจากเพื่อน ๆ ก็คือ ต้องตั้งใจเรียนให้มากกว่าเดิม เพราะดิฉันตั้งใจจะสอบเข้าวิทยาลัยพยาบาลของกองทัพต่างๆ ที่มีทุนให้เรียน จบมามีงานให้ทำ แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะร่างกายไม่อำนวย คือสอบผ่านพยาบาลกองทัพเรือแล้ว แต่ไม่ผ่านตรวจร่างกาย ดิฉันจึงต้องเบนเข็มอีกครั้ง ต้องคิดหาวิชาที่จะเรียนใหม่ และเมื่อเรียนจบแล้วต้องมีงานทำด้วย เพราะที่บ้านไม่มีอาชีพรองรับให้ และวิชาที่ดิฉันเห็นว่าจบมาแล้วมีงานทำแน่นอนก็คือภาษาอังกฤษ ดิฉันจึงเริ่มเก็บเงินค่าขนมที่ได้มาโรงเรียนทุกวัน ไว้เรียนพิเศษภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องรบกวนพ่อแม่ เมื่อฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ก็เริ่มเรียนภาษาอังกฤษ แต่ด้วยความที่ไม่มีพื้นฐานที่ดีเหมือนคนอื่นก็ต้องขวนขวายเอง มีอาจารย์เป็นชาวต่างชาติฟังเค้าก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง มีอาจารย์เป็นคนไทย 3 คน แต่ในเวลาเรียนอาจารย์ไม่เคยพูดไทยด้วยเลย แม้กระทั่งคำบ่นแกมเหน็บแนม ท่านก็ยังบ่นเป็นภาษาอังกฤษ ดิฉันแปลกใจตัวเองเช่นกัน เวลาอาจารย์สอนอาจใช้คำศัพท์เฉพาะทางที่ไม่ค่อยเข้าใจมากไป แต่เวลาท่านบ่นดิฉันดันเข้าใจทุกประโยค และที่เป็นแรงผลักดันให้ดิฉันมีความพยายามเรียนให้หนักขึ้นคือ มีคำพูดอยู่ช่วงหนึ่งของอาจารย์ที่ฉันจำได้ขึ้นใจคือ "พวกคุณมีโอกาสมากกว่าคนอื่นที่ได้มาเรียนในระดับนี้ และมีความพร้อมกว่าในทุกด้าน มีอาการครบ 32 แต่ทำไมคุณถึงสู้คนพิการไม่ได้" ตอนแรกดิฉันก็ไม่เข้าใจว่าที่อาจารย์พูดมันคืออะไร จนกระทั่งดิฉันได้รู้จักรุ่นพี่คนหนึ่ง เขาชื่อ พี่สงกรานต์ เขาเป็นคนพิการ ตาบอดแต่กำเนิด อยู่ด้วยความอุปการะของมูลนิธิ เขาเรียนได้คะแนนเฉลี่ย 4.00 ซึ่งแตกต่างกับดิฉันและเพื่อน ๆ มาก และเมื่อดิฉันเริ่มสนิทกับรุ่นพี่คนนี้ เขาก็มีคำแนะนำดี ๆ เกี่ยวกับการเรียนภาษาอังกฤษมากมาย เช่น การฝึกทักษะการฟัง พี่บอกว่าก็ให้เริ่มฟังจากสิ่งเล็ก ๆ ก่อน เช่น นิทาน การ์ตูนหรือเพลงภาษาอังกฤษง่าย ๆ เมื่อเราฟังจนเริ่มชินแล้ว ก็ลองเดาความหมายจากสำเนียงการพูดหรือคำพูดว่าเป็นอย่างไร คำนี้เขาใช้ในความหมายด้านใด หรืออาจดูจากภาษาท่าทางที่ตัวละครแสดงออกทางภาพยนตร์ก็ได้ ซึ่งสิ่งที่พี่บอกมีให้สืบค้นหรือหยิบยืมได้ที่ศูนย์วิทยบริการหรือจะยืมของพี่เขาก็ไม่หวง จากนั้นพี่ก็เริ่มพาดิฉันไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ เพื่อฝึกภาษาและสำเนียงการพูดที่ถูกต้องกับชาวต่างชาติที่เป็นโปแตสแตนท์ และที่ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ดิฉันเรียนเข้าใจมากขึ้น จากเด็กที่ไม่ค่อยรู้ก็รู้มากขึ้นทั้งเรื่องเรียน และความมีน้ำใจ ไม่ว่าใครเราก็สามารถแบ่งปันความรู้และความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กันได้

ขึ้นไปข้างบน  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ